"หมูปิ้ง"
อาชีพนี้ก็เป็นอาชีพอิสระ อีกหนึ่งอาชีพที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่ทำให้อร่อยนั้นค่อนข้างยาก ทางเราจึงไปค้นหา สูตรหมูปิ้งที่คิคว่ารสชาติคงถูกปากของใครหลายๆ คนนะ เรามาดูกันว่าเขาทำอย่างไรกันบ้าง- สูตรการทำหมูปิ้ง ประกอบด้วย
- หมู และต้องที่มีมันแทรกอยู่พอสมควร(หรือบริเวณสันคอหมู) เพราะจะทำให้เนี้อหมูไม่แข็งเกินไปเวลาย่างแล้ว ใช้ประมาณ 5 กิโล
- กระเทียมบดละเอียด ประมาณ ครึ่งขีด
- พริกไทยป่น ประมาณ 1 ช้อนกินข้าว
- รากผักชี บดละเอียด ประมาณ ครึ่งขีด
- ซอสภูเขา ประมาณ 1 ถ้วย (ใช้ถ้วยน้ำพริก ตวงก็ได้นะ)
- ซีอิ้วหวาน ประมาณ ครึ่ง ถ้วย
- น้ำตาลทรายประมาณ ครึ่ง กิโล
- น้ำตาลปิ้บ ประมาณ ครึ่ง กิโล
- เกลือ ประมาณ 2 ช้อนกินข้าว
- เราก็เอาหมูใส่ในกระมัง แล้วเอาส่วนผสมทั้งหมดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน คลุกเคล้าเบาๆ นะ อย่าไปขย้ำมันนะเดี๋ยวหมูจะเละ คลุกเคล้าประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นก็เสียบไม้ให้เรียบร้อยแล้วเทใส่กล่องแช่ช่องฟิต เช้ามาก็เตรียมขายได้เลย
- และอย่าลืม นึ่งข้าวเหนียวด้วยนะ การนึ่งข้าวเหนียวก็แค่ ต้องแช่ข้าวเหนียวก่อนประมาณ 10 ชั่วโมง แล้วเอามาค่อยนึ่งนะ
- คำนวนการลงทุน
- หมู 5 กิโล โลละ 99 บาท รวมเป็นเงิน 495 บาท
- เครื่องปรุงทั้งหมด ประมาณ 200 บาท
- ค่าถุง ค่าไม้เสียบ ค่าถ่าน ประมาณ 150 บาท
- หมู 1 กิโล เสียบได้ประมาณ 100 ไม้ ไม่เกินนี้ ถ้า 5 กิโล ก็จะได้ 500 ไม้
- ถ้าขายไม้ละ 3 บาท เท่ากับ 500 x 3 = 1,500 บาท
- คิดกำไรหมูปิ้ง 500 ไม้ (ไม่รวมข้าวเหนียว) จะได้เท่ากับ 1,500 - 845 = 655 บาท นี่คือกำไรนะ
ถ้าได้กำไรประมาณนี้ เพื่อนๆ คิดว่าน่าทำไหม สูตรการหมักหมูนี้พอได้ลองทำดู สรุปว่าอร่อยพอสมควรเลยนะ ถ้าเพื่อนๆ อยากลองไปทำกินกันเองในครอบครัว
แฟล่งข้อมูล : http://workdeena.blogspot.com/
" กล้วยปิ้ง "
เป็นอาชีพที่ต้นทุนต่ำ ขายง่ายกำไรงาม
แถมยังเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และต่อโลกใบนี้อีกด้วย
กล้วยเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีประโยชน์มาก หาทานได้ง่าย
เด็กหรือผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ประโยชน์ของกล้วยนั้นบอกได้เลยว่าไม่กล้วยอย่างที่คิด
เคล็ดลับ ความอร่อยของกล้วยปิ้ง
1.อันดับแรกอยู่ที่การเลือกกล้วย จะต้องใช้กล้วยน้ำว้าสวนเท่านั้นและต้องเลือกที่ลูกเล็กๆ เพราะมันจะหวานอร่อยกว่า เนื้อนิ่มกว่ากล้วยน้ำว้าลูกใหญ่ๆ
และใช้กล้วยสีกะดังงา คือ กล้วยที่มีสีเขียวแซมบริเวณปลายและตรงโคนมีสีเหลือง
หรือที่เรียกว่ากล้วยกำลังห่ามนั่นเอง แบบนี้จะย่างง่ายหน่อย
เสียบไม้ง่าย และอร่อยกำลังพอดี
2.การปิ้งก็จะต้องปิ้งให้สุกได้ที่ ต้องใช้ไฟกำลังดี ถ้าไฟอ่อนเกินไปกล้วยก็จะกระด้าง แต่ถ้าใช้ไฟแรงเกินไปกล้วยก็จะไหม้เสียก่อน วิธีการคุมไฟให้พอเหมาะกับการย่างกล้วย รอให้ความร้อนอยู่ในระดับพอดีไม่ร้อนมาก
หากเราลองนำมือมาผึ่งไว้ได้ประมาณ 10 วินาที
โดยไม่รู้สึกร้อนมาก ก็สามารถนำกล้วยที่เสียบไม้ไว้แล้วนำมาย่างได้
3.ก็ต้องใช้เตาถ่านที่ต้องปรุงแต่งแรงไฟอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งจะต้องหมุนกล้วยปิ้งพลิกไปพลิกมาตลอดเวลาซึ่งนอกจากจะทำให้กล้วยมีกลิ่นหอมน่ารับประทานแล้ว ยังทำให้กล้วยสุกทั่วถึงทั้งใบ
4.เมื่อกล้วยปิ้งสุกแล้วจะนำมาพักเอาไว้ให้เย็นเสียก่อน เพราะถ้าทุบตอนร้อนๆ กล้วยก็จะแตกและไม่น่ารับประทาน ที่สำคัญจะไม่อมน้ำจิ้มอีกด้วย
4.เมื่อกล้วยปิ้งสุกแล้วจะนำมาพักเอาไว้ให้เย็นเสียก่อน เพราะถ้าทุบตอนร้อนๆ กล้วยก็จะแตกและไม่น่ารับประทาน ที่สำคัญจะไม่อมน้ำจิ้มอีกด้วย
น้ำจิ้ม
ส่วนผสมน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด
(ปริมาณของส่วนผสมกะให้ได้น้ำราด 1 หม้อ หากท่านใดทำรับประทานเอง
อาจจะไมต้องใส่ปริมาณมากเท่านี้ก็ได้)
1. น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโล
2. แป้งข้าวโพด 1 ถุง
3. หัวกะทิ 1 เหยือก
4. เกลือ 1 ถ้วยเล็ก
5. น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก
6. เนื้อมะพร้าวเผา เพราะจะทำให้เกะเนื้อง่าย และนำมาหั่นเป็นเส้นพอเหมาะ ประมาณ 1 ถ้วยใหญ่ (หากใครจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้)
2. แป้งข้าวโพด 1 ถุง
3. หัวกะทิ 1 เหยือก
4. เกลือ 1 ถ้วยเล็ก
5. น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก
6. เนื้อมะพร้าวเผา เพราะจะทำให้เกะเนื้อง่าย และนำมาหั่นเป็นเส้นพอเหมาะ ประมาณ 1 ถ้วยใหญ่ (หากใครจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้)
วิธีการทำน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด
ความโดดเด่นนั้นอยู่ที่น้ำเชื่อมราด ทั้งรสหวานนำลิ้น สัมผัสเค็มตามหลัง บวกกับความมันจากน้ำกะทิที่เหมือนบรรจงใส่ให้เข้ากัน
ความโดดเด่นนั้นอยู่ที่น้ำเชื่อมราด ทั้งรสหวานนำลิ้น สัมผัสเค็มตามหลัง บวกกับความมันจากน้ำกะทิที่เหมือนบรรจงใส่ให้เข้ากัน
1. เตรียมหม้อขนาดใหญ่ 1 ใบ ตั้งไฟให้พอเหมาะ
ไม่ต้องใช้ความร้อนสูง
2. นำหัวกะทิ 1 เหยือก น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก เทลงไปในหม้อที่เตรียมไว้ ตักน้ำตาลปิ๊ปใส่ลงไป 2 ทัพพี และตั้งไฟคนให้เข้ากันประมาณ 5-10 นาที ให้น้ำตาลละลาย
3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตักเกลือใส่ประมาณ 2 ช้อนชา หลังจากนั้นให้ชิมดูว่ารสชาติหวานเกินไปรึเปล่า หากกวานเกินไปไม่เป็นไร เพราะเราจะต้องใส่แป้งข้าวโพดตามอีกที
4. เทน้ำลงในถ้วยเปล่าประมาณครึ่งถ้วย และนำแป้งข้าวโพดมาละลายน้ำ ไม่ต้องให้ข้นมาก เพราะเวลาที่เรานำไปเทผสมกับส่วนผสมที่เตรียมไว้อาจจะทำให้น้ำราดออกมามีความเหนียวจนเกินไป หลังจากที่ละลายแป้งข้าวโพดแล้ว ให้ค่อยๆ เทลงในหม้อ และคนส่วนผสมให้เข้ากัน หรือหากใครที่ชอบน้ำราดแบบเหนียวนิดนึงก็ให้เพิ่มแป้งข้าวโพดได้ตามความชอบ และรสชาติความหวานและความเค็มสามารถกะตวงตามความชอบได้
5. จากนั้นให้นำเนื้อมะพร้าวเผาที่เราเตรียมไว้เทลงไปให้หมด หากท่านใดจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้ แต่การใส่เนื้อมะพร้าวเผาจะเพิ่มความหอมและรสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น
6. คนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน รอจนเดือด และลองชิมดู (รสชาติสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้ตามความชอบ) การใส่วัตถุดิบที่แปลกใหม่ จะทำให้เพิ่มรสชาติและความหลากหลายของน้ำราดได้ เพราะฉะนั้นท่านสามารถคิดค้นและเพิ่มเติมส่วนผสมต่างๆ ได้ตามต้องการ
2. นำหัวกะทิ 1 เหยือก น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก เทลงไปในหม้อที่เตรียมไว้ ตักน้ำตาลปิ๊ปใส่ลงไป 2 ทัพพี และตั้งไฟคนให้เข้ากันประมาณ 5-10 นาที ให้น้ำตาลละลาย
3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตักเกลือใส่ประมาณ 2 ช้อนชา หลังจากนั้นให้ชิมดูว่ารสชาติหวานเกินไปรึเปล่า หากกวานเกินไปไม่เป็นไร เพราะเราจะต้องใส่แป้งข้าวโพดตามอีกที
4. เทน้ำลงในถ้วยเปล่าประมาณครึ่งถ้วย และนำแป้งข้าวโพดมาละลายน้ำ ไม่ต้องให้ข้นมาก เพราะเวลาที่เรานำไปเทผสมกับส่วนผสมที่เตรียมไว้อาจจะทำให้น้ำราดออกมามีความเหนียวจนเกินไป หลังจากที่ละลายแป้งข้าวโพดแล้ว ให้ค่อยๆ เทลงในหม้อ และคนส่วนผสมให้เข้ากัน หรือหากใครที่ชอบน้ำราดแบบเหนียวนิดนึงก็ให้เพิ่มแป้งข้าวโพดได้ตามความชอบ และรสชาติความหวานและความเค็มสามารถกะตวงตามความชอบได้
5. จากนั้นให้นำเนื้อมะพร้าวเผาที่เราเตรียมไว้เทลงไปให้หมด หากท่านใดจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้ แต่การใส่เนื้อมะพร้าวเผาจะเพิ่มความหอมและรสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น
6. คนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน รอจนเดือด และลองชิมดู (รสชาติสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้ตามความชอบ) การใส่วัตถุดิบที่แปลกใหม่ จะทำให้เพิ่มรสชาติและความหลากหลายของน้ำราดได้ เพราะฉะนั้นท่านสามารถคิดค้นและเพิ่มเติมส่วนผสมต่างๆ ได้ตามต้องการ
เคล็ดลับเพิ่มเติม ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลและปรุงรสให้กลมกล่อมพร้อมเพิ่มความหอมล้ำด้วยการอบ เทียน ที่สำคัญ ต้องปรุงสดใหม่ทุกวันจะได้ความหอมหวานกลมกล่อมมากกว่า
กล้วยทอด อาชีพธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ในปัจจุบัน หลายคนต้องประสบปัญหาการประกอบอาชีพ
การขายกล้วยทอดเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่บางคนมองว่าเป็นอาชีพพื้นๆ
แต่สำหรับคนที่มีสูตรหรือเคล็ดลับเฉพาะทำกล้วยทอดให้อร่อย
ก็สามารถทำกำไรได้ถึง 2,000 บาทต่อวันเลยทีเดียว
กล้วยทอดจึงไม่ใช่อาชีพธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน
วิธีทำกล้วยทอดให้อร่อย
การขายกล้วยทอดน่าจะมีรายได้ที่ดีที่ทำรายได้ให้มากมาย เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่ลงตัวเคล็ดลับและวิธีการทำกล้วยทอดให้แก่ผู้ที่สนใจ ดังนี้
สูตร 1
ส่วนผสมการทำกล้วยทอด
แป้งข้าวเจ้า 1 กก. ต่อกล้วย 10 หวี
แป้งหมี่ 0.5 กก.
แป้งมัน 0.5 กก.
มะพร้าวขูด 1 กก.
น้ำตาลทราย 1 กก.
เกลือ 2 ถุงเล็ก
น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง
งาขาว (โรยลงส่วนผสมทั้งหมด ก่อนนำกล้วยลงทอด)
วิธีการทำ
1.เทแป้งและส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วเติมน้ำเปล่า อย่าให้แข็งหรือเหลวเกินไปเพื่อเวลาเอากล้วยชุบลงทอด แป้งจะติดกล้วยออกมาสวย
2.ใส่น้ำมันพืชเกือบเต็มกระทะ พอน้ำมันร้อน ก็เอากล้วยที่ปอกเปลือกแล้ว ( 1 ลูก ฝานได้ 4 ชิ้น) ชุบแป้งลงทอด ใช้ทัพพีคน เพื่อไม่ให้กล้วยติดกัน ทอดจนเหลืองสุกดี ใช้ตะแกรงตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
สูตร 2
ส่วนผสม
กล้วยน้ำว้า 50 ผล
แป้งข้าวเจ้า 2 1/4 ถ้วย
แป้งสาลี 2 ถ้วย
เกลือป่น 3 ช้อนชา
ผงฟู 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
น้ำปูนใส 2 ถ้วย
มะพร้าวขูดขาว 4 ถ้วย
งาขาว 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 4 ถ้วย
หมายเหตุ** แป้งข้าวจ้าวจะทำให้เนื่อแป้งแข็งขึ้น
วิธีทำ
1.ร่อนแป้งทั้งสองชนิด, เกลือ, ผงฟู, และน้ำตาลทราย รวมกัน
2.ใส่น้ำปูนใสทั้งหมดคนเร็ว ๆ ให้เข้ากัน ใส่มะพร้าวขูดและงาขาว
3.ปอกเปลือกกล้วย แล้วผ่าแช่น้ำปูนใส 15 นาที ล้างน้ำสะอาด
4.ใส่น้ำมันในกระทะให้ร้อน
5.ชุบกล้วยลงในแป้ง ทอดให้เหลือง ซับน้ำมันให้แห้ง
เคล็ดลับความอร่อย
1.ควรเลือกกล้วยที่ไม่สุกเกินไป
2.น้ำมันทอดกล้วย
- เริ่มต้นต้องร้อนจัด เปิดไฟแรงในช่วงเริ่มต้น
-เมื่อเริ่มใส่กล้วยลงไป ให้หรี่เป็นไฟกลาง
-พอกล้วยเต็มกระทะ ปรับไฟให้แรงขึ้น
ใช้ไม้ยาวเขี่ยแยกกล้วยไม่ให้ติดกัน หลังจากกล้วยสุกเสมอกันดีแล้ว ตักขึ้น
เทคนิคอื่นๆที่พึงใส่ใจ
1.กระทะ ถาดใส่กล้วย กะละมัง ควรหมั่นดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าให้ขะมุกขะมอม เพราะไม่น่ากิน และดูสกปรก
2.อย่าใช้ถุงกระดาษหนังสือพิมพ์ เพราะหมึกพิมพ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในจุดนี้ลูกค้าก็ระวังตัวเองอยู่แล้ว ผู้ขายควรใช้กระดาษห่ออาหาร แล้วใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง
3.ในช่วงเริ่มต้น ผู้ขายอาจนำแนวทางของคนอื่นมาประยุกต์ใช้ แต่ผู้ขายควรพยายาม พัฒนาดัดแปลงให้มีจุดเด่น เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของร้าน นอกจากนี้ ผู้ขายยังต้องสนใจรับฟังคำติชม เพื่อนำมาปรับปรุงต่อไป
กล้วยทอด อาชีพธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ในปัจจุบัน หลายคนต้องประสบปัญหาการประกอบอาชีพ
การขายกล้วยทอดเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่บางคนมองว่าเป็นอาชีพพื้นๆ
แต่สำหรับคนที่มีสูตรหรือเคล็ดลับเฉพาะทำกล้วยทอดให้อร่อย
ก็สามารถทำกำไรได้ถึง 2,000 บาทต่อวันเลยทีเดียว
กล้วยทอดจึงไม่ใช่อาชีพธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน
กล้วยทอด
วิธีทำกล้วยทอดให้อร่อย
การขายกล้วยทอดน่าจะมีรายได้ที่ดีที่ทำรายได้ให้มากมาย เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่ลงตัวเคล็ดลับและวิธีการทำกล้วยทอดให้แก่ผู้ที่สนใจ ดังนี้
สูตร 1
ส่วนผสมการทำกล้วยทอด
แป้งข้าวเจ้า 1 กก. ต่อกล้วย 10 หวี
แป้งหมี่ 0.5 กก.
แป้งมัน 0.5 กก.
มะพร้าวขูด 1 กก.
น้ำตาลทราย 1 กก.
เกลือ 2 ถุงเล็ก
น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง
งาขาว (โรยลงส่วนผสมทั้งหมด ก่อนนำกล้วยลงทอด)
วิธีการทำ
1.เทแป้งและส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วเติมน้ำเปล่า อย่าให้แข็งหรือเหลวเกินไปเพื่อเวลาเอากล้วยชุบลงทอด แป้งจะติดกล้วยออกมาสวย
2.ใส่น้ำมันพืชเกือบเต็มกระทะ พอน้ำมันร้อน ก็เอากล้วยที่ปอกเปลือกแล้ว ( 1 ลูก ฝานได้ 4 ชิ้น) ชุบแป้งลงทอด ใช้ทัพพีคน เพื่อไม่ให้กล้วยติดกัน ทอดจนเหลืองสุกดี ใช้ตะแกรงตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
สูตร 2
ส่วนผสม
กล้วยน้ำว้า 50 ผล
แป้งข้าวเจ้า 2 1/4 ถ้วย
แป้งสาลี 2 ถ้วย
เกลือป่น 3 ช้อนชา
ผงฟู 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
น้ำปูนใส 2 ถ้วย
มะพร้าวขูดขาว 4 ถ้วย
งาขาว 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 4 ถ้วย
หมายเหตุ** แป้งข้าวจ้าวจะทำให้เนื่อแป้งแข็งขึ้น
วิธีทำ
1.ร่อนแป้งทั้งสองชนิด, เกลือ, ผงฟู, และน้ำตาลทราย รวมกัน
2.ใส่น้ำปูนใสทั้งหมดคนเร็ว ๆ ให้เข้ากัน ใส่มะพร้าวขูดและงาขาว
3.ปอกเปลือกกล้วย แล้วผ่าแช่น้ำปูนใส 15 นาที ล้างน้ำสะอาด
4.ใส่น้ำมันในกระทะให้ร้อน
5.ชุบกล้วยลงในแป้ง ทอดให้เหลือง ซับน้ำมันให้แห้ง
เคล็ดลับความอร่อย
1.ควรเลือกกล้วยที่ไม่สุกเกินไป
2.น้ำมันทอดกล้วย
- เริ่มต้นต้องร้อนจัด เปิดไฟแรงในช่วงเริ่มต้น
-เมื่อเริ่มใส่กล้วยลงไป ให้หรี่เป็นไฟกลาง
-พอกล้วยเต็มกระทะ ปรับไฟให้แรงขึ้น
ใช้ไม้ยาวเขี่ยแยกกล้วยไม่ให้ติดกัน หลังจากกล้วยสุกเสมอกันดีแล้ว ตักขึ้น
เทคนิคอื่นๆที่พึงใส่ใจ
1.กระทะ ถาดใส่กล้วย กะละมัง ควรหมั่นดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าให้ขะมุกขะมอม เพราะไม่น่ากิน และดูสกปรก
2.อย่าใช้ถุงกระดาษหนังสือพิมพ์ เพราะหมึกพิมพ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในจุดนี้ลูกค้าก็ระวังตัวเองอยู่แล้ว ผู้ขายควรใช้กระดาษห่ออาหาร แล้วใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง
3.ในช่วงเริ่มต้น ผู้ขายอาจนำแนวทางของคนอื่นมาประยุกต์ใช้ แต่ผู้ขายควรพยายาม พัฒนาดัดแปลงให้มีจุดเด่น เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของร้าน นอกจากนี้ ผู้ขายยังต้องสนใจรับฟังคำติชม เพื่อนำมาปรับปรุงต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น